ราคาตั๋วเครื่องบินก็เหมือนกับราคาไข่ไก่ที่มีขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่เป็นประจำ ก็แน่นอนอยู่แล้วว่าราคาตั๋วเครื่องบินก็ต้องขึ้นอยู่กับกลไกของตลาด เมื่อมี Demand มาก ก็ย่อมต้องมี Supply มากเป็นธรรมดา ผมว่าเด็กสิบขวบยังรู้เรื่องนี้เลย คราวนถึงเวลาที่ี้ผู้โดยสารที่ต้องเดินทางด้วยเครื่องบินอยู่บ่อย ๆ จะต้องรู้ว่า แล้วราคาตั๋วเครื่องบินที่จ่าย ๆ กันอยู่เนี้ย มันประกอบไปด้วยอะไรบ้าง

โอเคครับ ลองมาวิเคราะ์ห์ดูคร่าว ๆ กันว่าราคาตั๋วเครื่องบินประกอบด้วยอะไรบ้าง สมมติว่ามีเครื่องบินโบอิ้งB737 อยู่ลำหนึ่งซึ่งสามารถบรรทุกผู้โดยสารแบบเต็มลำได้ทั้งสิ้น 137 คน และสมมติอีกว่าเครื่องบินลำนี้ ทุกที่นั่งถูกจองหมด และกำลังจะเดินทางออกจากสนามบิน A ไปยังสนามบิน B โดยเป็นการเที่ยวบินขาเดียวระหว่างประเทศ สำหรับตั๋วชั้นประหยัด ราคาของแต่ละสายการบินก็จะแตกต่างกันออกไป สิบสายการบินก็จะให้ราคาสิบแบบที่ไม่ซ้ำกันเลย แต่ท้ายที่สุดแล้วแต่ละสายการบินก็ต้องใช้หลักการที่จะกล่าวถึงนี้ มาคำนวณราคาตั๋วเครื่องบินต่อหนึ่งที่นั่งต่อหนึ่งเที่ยวบิน

1. Competition on Route โดยดูจากจำนวนผู้โดยสารต่อเที่ยวต่อวันว่า เป็นเที่ยวบินที่ทำกำไรให้หรือไม่ มีกี่สายการบินที่บินสนามบิน Aไปยังสนามบิน B ยิ่งถ้ามีสายการบินน้อย คู่แข่งน้อย ราคาก็ยิ่งจะถูกกำหนดได้ง่ายโดยสารการบินเหล่านั้น
2. Seat Demand & Seat Supply ความต้องการของผู้โดยสารว่าเป็นช่วง High Season หรือช่วง Low Season ยิ่งช่วงไหนที่มีผู้โดยสารเดินทางมากเป็นพิเศษ เช่น ช่วงคริสต์มาสและปีใหม่ ราคาตั๋วจะถูกกำหนดได้ง่ายเนื่องจากมี Demand ของการเดินทางสูง
3. Distance of Route ระยะทางของการเดินทางจากสนามบิน Aไปยังสนามบิน B แน่นอนว่ายิ่งระยะบินที่ไกลราคาตั๋วก็ย่อมต้องแพงกว่าระยะทางที่ใกล้
4. Fuel Prices เรื่องของราคาน้ำมันนี่แน่นอนอยู่แล้วครับว่าเป็นตัวกำหนดราคาอย่างเห็นได้ชัด ช่วงไหนที่ราคาน้ำมันถูกตั๋วก็ย่อมจะถูก ยิ่งช่วงไหนราคาน้ำมันแพงหรือมีการขาดแคลนของน้ำมัน viagra online usa ไม่ต้องพูดถึงเลยครับ ราคาตั๋วนี่แพงหูฉี่

นอกจากนั้นแล้วตั๋วเครื่องบินยังแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ นั้นก็คือตั๋วท่องเที่ยวกับตั๋วธุรกิจ เนื่องจากตั๋วท่องเที่ยวนั้นปกติแล้วจะมีการกำหนดวันเดินทางที่แน่นอนว่าจะออกเดินทางเมื่อไหร่ มีแผนการเดินทางที่แน่นอน ซึ่งต่างกับตั๋วธุรกิจนั่นก็คือว่าการเดินทางอาจเปลี่ยนแปลงได้หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า ตั๋ว Open นั่นเอง อีกอย่างหนึ่งราคาตั๋วก็ถูกกำหนดโดยการจำแนกตั๋วออกเป็น Classโดยแต่ละ Class ก็จะมีการซอยย่อยออกไปอีกขึ้นอยู่กับประเภทของตั๋ว เช่น

1. Advance Purchase คือการซื้อตั๋วล่วงหน้า บางคนบอกว่าซื้อตั่วล่วงหน้าก่อนเป้นปีจะได้ราคาถูกกว่าซื้อตั๋วก่อนเดินทางเดือนหนึ่งหรือสองเดือน จริงครับ แต่ไม่เสมอไป
2. Minimum Stay คือจำนวนวันที่จะต้องค้างคืน ก่อนการเิดทางกลับ บางสายการบินกำหนดว่าถ้าคุณอยู่่อย่างน้อย สองหรือสามวันราคาตั๋วจะถูกกว่าคุณเดินทางไป-กลับภายในวันเดียว
3. Departure Day Requirements วันที่ออกเดินทาง เช่นวันอังคาร พุธหรือเสาร์ ราคาตั๋วจะถูกกว่าเดินทางวันศุกร์หรืออาทิตย์
4. Flight Time Requirements เวลาที่เครื่องบินออกเดินทางก็เป็นตัวกำหนดราคาเช่นกัน โดยปกติแล้วหากเดินทางด้วยเที่ยวบินที่เช้ามาก ๆ เช่นเช้ามืด หรือดึกไปเลย เช่นหลังเที่ยงคืน ปกติแล้วราคาตั๋วประเภทนี้จะถูกกว่าตั๋วที่ออกเดินทางในเวลากลางวัน
5. Surcharges แล้วก็จะมีราคาอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากราคาดังกล่าว เช่น ภาษีสนามบิน ภาษีน้ำมัน และอื่น ๆ ที่ไม่สามารถแจกแจงออกมาได้หมด ก็จะรวมอยู่ในนี้ด้วย

โดยปกติแล้วราคาตั๋วที่เราจ่ายไปนั้น เป็นราคาตั๋วจริง ๆ ประมาณ 60% ที่เหลืออีก 40% เป็น Fuel Prices และ Surcharge ยกตัวอย่างสายการบินหนึ่ง ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปยังลอนดอน การเดินทางไป-กลับ ราคาตั๋วจริง 48,000 บาท โดยแบ่งได้เป็นราคาตั๋ว 29,500 บาท (60%) และอีก18500 บาท (40%) เป็นอัตราค่าภาษีและค่า Surcharge ต่าง ๆ เพราะฉะนั้นแล้วตั๋วเครื่องบินที่เราซื้อ ๆ กันอยู่ จริง ๆ แล้วมันมีราคาอื่น ๆ แอบแฝงมาด้วย เพราะฉะนั้นแล้วก่อนที่จะตัดสินใจเลือกจะเดินทาไปไหนมาไหนก็ลองคิดดูสักนิดว่าจะเดินทางช่วงไหน กับสายการบินไหน ไปอยู่นานเท่าไหร่แล้วค่าภาษีและอื่น ๆ จะมากน้อยขนาดไหน ซึ่งทำให้เราอาจได้ตั๋วโดยสารในราคาที่สมน้ำสมเนื้อมากกว่าที่เราจ่ายแพงกว่าคนอื่น


ผู้แปลและเรียบเรียง : ศักดิ์บัณฑิต กิตติยังกุล

CREDIT: www.oknation.net